phumiko
วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554
กาละแมโบราณ นวัตกรรมของคนเชียงคำ
ประวัติความเป็นมา
กะละแมโบราณในที่นี้ เป็นสูตรของชาวไทลื้อ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นขนมหวานที่มีความเป็น มาแต่ยาวนาน โดยมีที่มาดังนี้
เนื่องด้วยประเพณีงานบวช งานบุญ ของชาวไทลื้อสมัยโบราณ มักนิยมทำขนมปาด ซึ่งเป็นขนมลักษณะ คล้ายกับขนมชั้น แต่จะนิ่มกว่า ซึ่งเป็นขนมที่นิยม ของชาวไทลื้อ แต่ขนมปาดเก็บรักษาได้ไม่นาน แค่ 2 วัน ก็เน่าเสีย ต่อมา เมื่อมีงานประเพณีสืบสานตำนานไทลื้อ กลุ่มกะละแมบ้านดอนไชย หมู่ 5 ตำบลหย่วน อำเภอเชียงคำจึงได้รวมกลุ่มกันประมาณ 40 กว่าคน ตั้งกลุ่มทำขนมปาด และกวนขนมปาดขายในงานดังกล่าว ซึ่งขายได้ดีมาก และแขกที่มาจากต่างจังหวัด ซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน แต่เก็บได้ไม่นาน เมื่อเสร็จจากงานสืบสานตำนานไทลื้อ ทางกลุ่มจึงได้ปรึกษากันเพื่อหาวิธีการที่จะเก็บขนมปาดให้มีอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น โดยไม่พึ่งสารเคมี ต่อมากลุ่มฯ ได้ส่งตัวแทนไปอบรมวิธีการทำขนมต่าง ๆ ที่ YMCA เชียงราย และกลับมาช่วยกันหาวิธีทำขนมกวน ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมปาด โดยทำ “กะละแมโบราณ” ขึ้น ซึ่งใช้วิธีกวนเหมือนกัน ส่วนผสมคล้ายกัน ต่างกันตรงที่ขนมปาดใช้แป้งข้าวเจ้า กะละแมโบราณใช้แป้งข้าวเหนียว ขนมปาดมีสีแดงจากน้ำอ้อย กะละแมมีสีดำ โดยใช้กากมะพร้าวเผา การทำกะละแมโบราณ เน้นย้ำที่ความหอมจากใบตอง และกรรมวิธีแบบโบราณ
credit by http://www.cddck.com/index.php/2010-07-21-09-21-17
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
ประวัติความเป็นมาของเครื่องคอมพิวเตอร์
ประวัติความเป็นมาของเครื่องคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง
โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น 5 ยุค
ยุคที่ 1 พ.ศ. 2489 - 2501
เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี
จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสูญญากาศ
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
- ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง
- ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น
- เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน
มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
- ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
- เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core)
- มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS)
- สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
- เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
- ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
- ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า)
- ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป
เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
- ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
- มีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)
ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่
1. ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System)
คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น
2. ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System)
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น
3. การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System)
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น
4. ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System)
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น
credit by http://www.thaiwbi.com/course/Intro_com/Intro_com/wbi1/hie/menu2.htm
แผนการสอน 1 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ รายวิชา วิทยาศาสตร์ ( ว14101 )
ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ การดำรงชีวิตของพืช เรื่อง โครงสร้างภายนอกของพืช เวลา 2 ชั่วโมง
ชื่อครูผู้สอน นางสาวภูมิใจ กลับมา โรงเรียนบ้านปัวศรีพรม
…………………………………………………………………
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตที่ทำงานสัมพันธ์กัน มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ และนำความรู้ไปใช้ในการดำรงชีวิตของตนเองและดูแลสิ่งมีชีวิต
ตัวชี้วัด
ว 1.1 ป.4/1 ทดลองและอธิบายหน้าที่ ของท่อลำเลียงและปากใบของพืช
สาระสำคัญ
โครงสร้างภายนอกของพืช หน้าที่ ความสำคัญของส่วนประกอบพืช
จุดประสงค์
1. นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างภายนอกของพืชได้
2. นักเรียนสามารถบอกหน้าที่ของโครงสร้างภายนอกของพืชได้
3. นักเรียนสามารถวาดภาพ และเขียนอธิบายโครงสร้างภายนอกของพืชได้
4. นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกต
สาระการเรียนรู้
1. ความรู้
พืชมีโครงสร้างภายนอก ได้แก่ ราก ลำต้น กิ่ง ใบ ดอก ผล และเมล็ด ซึ่งแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่จะสัมพันธ์กันเป็นระบบ
2. ด้านทักษะกระบวนการ
1) ทักษะการสังเกต
2) ทักษะการอภิปราย
3) ทักษะการวาดภาพและระบายสี
กิจกรรมการเรียนรู้ ( ใช้รูปแบบการสอน CIPPA MODEL )
ขั้นนำ 5 นาที
ขั้นที่ 1 ทบทวนความรู้เดิม
ครูนำนักเรียนเข้าสู่บทเรียนโดยสอน สอนร้องเพลง กิ่ง ก้าน ใบ
เพลง กิ่ง ก้าน ใบ
กิ่ง ก้าน ใบ ชะ ชะ ใบก้านกิ่ง (ซ้ำ )
ฝนตกลมแรงจริงๆ ชะ ชะ กิ่งก้านใบ
จากนั้นครูจึงถามคำถาม เพื่อทบทวนความรู้เดิม
คำถาม จากเพลงที่ฟังนักเรียนคิดว่ามันจะเกี่ยวกับอะไร
ตอบ ส่วนประกอบของพืช
คำถาม โครงสร้างภายนอกของพืช มีอะไรบ้าง
ตอบ กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล เมล็ด ลำต้น
เป็นต้น
หลังจากทบทวนความรู้เดิมพอสมควรแล้ว จึงแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน “สำหรับวันนี้ครูจะพาไปรู้จักกับโครงสร้างภายนอก และหน้าที่ของพืช”
ขั้นสอน 40 นาที
ขั้นที่ 2 แสวงหาความรู้ใหม่
แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 -7 คน ช่วยกันต่อภาพต้นไม้ โดยนำภาพส่วนประกอบของต้นไม้ ตัดเป็นชิ้นส่วน แล้วนำมาประกอบกัน จนกระทั่งกลายเป็นภาพโครงสร้างต้นไม้ที่สมบูรณ์แบบ
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่และเชื่อมความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ครูอธิบายโครงสร้างภายนอกของพืช ให้นักเรียนฟัง จากนั้นให้นักเรียนทำใบงานชิ้นที่ 1 พอเสร็จแล้วให้นักเรียนช่วยกันสำรวจต้นไม้ และพืชโดยเลือกมากลุ่มละ 1 ชนิด จากนั้นให้นักเรียนสังเกตว่าต้นไม้มีโครงสร้างภายนอกอะไรบ้าง บันทึกผลโดยการวาดภาพและเขียนเส้นชี้ระบุโครงสร้างภายนอกของพืช
ครูนำต้นกระสังมาให้นักเรียนดู จากนั้นทำการสาธิต เรื่อง การดูดน้ำของราก โดยนำต้นกระสังแช่ไว้ในน้ำสี จากนั้น ให้นักเรียนสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนำเข้าสู่การอธิบายหน้าที่โครงสร้างของพืช
- ครูอธิบายในส่วนของหน้าที่โครงสร้างของพืช โดยที่
ราก ทำหน้าที่ ลำเลียงแร่ธาตุ น้ำ และ อาหารไปยังส่วนต่างๆของพืช
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ ในการยึดลำต้น
ลำต้น ทำหน้าที่ ลำเลียงธาตุอาหารและน้ำต่อจากราก เพื่อไปยังส่วนต่างๆของพืช
ใบ ทำหน้าที่ สร้างอาหาร คายน้ำ และสังเคราะห์แสง
ดอก ทำหน้าที่ ล่อแมลง
ผล ทำหน้าที่ ห่อหุ้มเมล็ด
เมล็ด ทำหน้าที่ ขยายพันธุ์
ขั้นที่ 4 ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นที่ 4 ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจกับกลุ่ม
- ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการสำรวจ และภาพวาด หน้าชั้นเรียน
- ให้นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างภายนอกของพืช โดยครูถามคำถามดังต่อไปนี้
คำถาม
- บริเวณที่สำรวจมีต้นไม้ชนิดใดบ้าง
- ต้นไม้แต่ละชนิดมีโครงสร้างภายนอกเหมือนกันหรือไม่
- ต้นไม้แต่ละชนิดมีโครงสร้างภายนอก ได้แก่อะไรบ้าง และมีหน้าที่อะไร
จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับพืช มีโครงสร้างภายนอก ได้แก่ ราก ใบ ลำต้น ดอก ผล และเมล็ด
ขั้นสรุป 5 นาที
ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปและจัดระเบียบความรู้
นักเรียนและครูร่วมกันสรุป และอธิบายเนื้อหาที่เรียนไป
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน
ให้นักเรียนนำผลงานมาติดแสดงหน้าห้องเรียน
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
นักเรียนสามารถนำความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ส่วนประกอบต่างๆของพืชบอกกับบุคคลอื่นๆได้ เช่น
นำเมล็ดพันธุ์ของพืชบางชนิดไปขยายพันธุ์พืชได้
สื่อ อุปกรณ์
สื่อ
1. ภาพต่อโครงสร้างภายนอกของพืช
2. รูปภาพโครงสร้างของพืช
อุปกรณ์
1. ต้นกระสัง 1 ต้น
2. สีผสมอาหารสีใดก็ได้
3. แก้วน้ำ 1 ใบ
4. น้ำ 1 แก้ว
ชิ้นงาน
1. ใบงานที่ 1 เรื่อง โครงสร้างภายนอกของพืช
2. ใบงานที่ 2 เรื่อง ต้นไม้ของฉัน
ประเมินผล
รายการประเมิน | วิธีการประเมิน | เครื่องมือการประเมิน |
1. นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างภายนอกของพืชได้ 2. นักเรียนสามารถบอกหน้าที่ของโครงสร้างภายนอกของพืชได้ 3. นักเรียนสามารถวาดภาพ และเขียนอธิบายโครงสร้างภายนอกของพืชได้ 4. นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้ ช่างสังเกต | 1. ตรวจใบงานที่ 1 โครงสร้างภายนอกของพืช 2. ตรวจใบงานที่ 2 ต้นไม้ของฉัน 3 สังเกตพฤติกรรมในชั้นเรียน | 1. ใบงานที่ 1 โครงสร้างภายนอกของพืช 2. ใบงานที่ 2 ต้นไม้ของฉัน 3. แบบบันทึกการสังเกต |
เกณฑ์การประเมิน
เกณฑ์การประเมินใบงานที่ 1 เรื่องโครงสร้างภายนอกของพืช
รายการประเมิน | เกณฑ์การให้คะแนน | |||
4 | 3 | 2 | 1 | |
บอกโครงสร้างภายนอกของพืชได้ | นักเรียนสามารถสร้างภายนอกของพืชได้ครบ 7 อย่าง | นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างภายนอกของพืช ได้ตั้งแต่ 5-6 อย่าง | นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างภายนอกของพืชได้ตั้งแต่ 3-4 อย่าง | นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างภายนอกของพืชได้น้อยกว่า 3 อย่าง |
เกณฑ์การประเมิน/ระดับคุณภาพ
คะแนน 4 หมายถึง ดีมาก
คะแนน 3 หมายถึง ดี
คะแนน 2 หมายถึง พอใช้
คะแนน 1 หมายถึง ปรับปรุง
เกณฑ์การผ่าน
ได้ระดับคุณภาพพอใช้ขึ้นไป
เกณฑ์การประเมินใบงานที่ 2 ต้นไม้ของฉันและภาระงาน การพูดนำเสนอผลงาน
ประเด็น การประเมิน | เกณฑ์การให้คะแนน | น้ำหนัก | รวมคะแนน | |||
4 | 3 | 2 | 1 | |||
1. ความสมบูรณ์ของชิ้นงาน | ชิ้นงานมีรายละเอียดครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนสมบูรณ์ | ชิ้นงานมีรายละเอียดครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนเป็นส่วนใหญ่ | ชิ้นงานมีรายละเอียดครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนพอสมควร | ชิ้นงานมีรายละเอียดครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนน้อย | 1 | 4 |
2. ความเรียบร้อย | ผลงานสะอาดเรียบร้อย มีการตกแต่งสวยงาม | ผลงานสะอาดเรียบร้อย มีการตกแต่ง | ผลงานสะอาดเรียบร้อย มีการตกแต่งบ้างเล็กน้อย | ผลงานสะอาดเรียบร้อย ไม่มีการตกแต่ง | 1 | 4 |
3. ความคิดสร้างสรรค์ | เป็นชิ้นงานที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนตัวอย่าง | เป็นชิ้นงานที่แปลกใหม่ แต่มีบางส่วนคล้ายกับตัวอย่าง | เป็นชิ้นงานที่ปรับปรุง ดัดแปลงเล็กน้อยจากตัวอย่าง | เป็นชิ้นงานที่เหมือนตัวอย่าง | 1 | 4 |
4. การนำเสนอ | พูดอย่างมั่นใจ พูดด้วยน้ำเสียงเหมาะกับบทที่พูดแสดงท่าทางประกอบ | พูดด้วยน้ำเสียงเหมาะแต่แสดงท่าทางประกอบน้อย | พูดไม่เป็นธรรมชาติ ขาดความน่าสนใจ แสดงท่าทางประกอบ การพูดน้อยมาก | พูดได้น้อยมาก ไม่มีท่าทางประกอบการพูดเลย | 1 | 4 |
คะแนนรวม | 16 |
เกณฑ์การประเมิน/ระดับคุณภาพ
คะแนน 13 – 16 หมายถึง ดีมาก
คะแนน 9 – 12 หมายถึง ดี
คะแนน 5 – 8 หมายถึง พอใช้
คะแนน 0 – 4 หมายถึง ปรับปรุง
เกณฑ์การผ่าน
ได้ระดับคุณภาพพอใช้ขึ้นไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)